lady-aoy-wj.hi5.com
จำนวนข้อความ : 212 Location : Bkk.Thailand. Registration date : 25/01/2009
| เรื่อง: โรคไข้สมองอักเสบ...อันตรายที่น่ากลัวสำหรับเจ้าตัวเล็ก... Sun Dec 05, 2010 7:47 pm | |
|
- เชื้อไวรัส ที่มาของโรค ไข้สมองอักเสบ
โรคไข้สมองอักเสบเกิดจากการอักเสบของเนื้อสมองทั่วๆ ไปหรือเฉพาะบางส่วนจากเชื้อไวรัส เนื่องจากเนื้อสมองอยู่ติดกับเยื่อหุ้มสมองจึงอาจพบการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองร่วมกับการอักเสบของสมองด้วยได้ โรคนี้มีความสำคัญเนื่องจากเมื่อเป็นแล้วมีอัตราการตายสูง หากรอดชีวิตมักมีความพิการหรือผิดปกติทางสมองตามมา
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก สภาวะอากาศ ฤดูกาล โอกาสในการสัมผัสกับสัตว์นำโรค และภูมิต้านทานของผู้ป่วย
สำหรับประเทศไทย เชื้อไวรัสที่ชื่อ เจอี (Japanese B encephalitis) เป็นสาเหตุการติดเชื้อไวรัสในสมองที่พบบ่อยที่สุดช่วงฤดูฝนของภาคเหนือ ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยไข้สมองอักเสบเกิดจากเชื้อเจอี โรคนี้พบได้ทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งเขตชานเมืองของกรุงเทพฯ เชื้อไวรัสอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุ เช่นเอนเทอโรไวรัส (enterovirus), เชื้อโรคมือ เท้า ปาก (อีวี 71), เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า, เชื้อหัด, เชื้อเริม (Herpes simplex virus), เชื้ออีสุกอีใส, เชื้อคางทูม, เชื้อเอดส์, เชื้อนิปาห์ เป็นต้น สังเกตอาการ…ไข้สมองอักเสบ อาการของผู้ป่วยจะมาได้ 2 ลักษณะ คือติดเชื้อเฉียบพลันมักมาด้วย ไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร กลัวแสง คอแข็ง ชัก พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ซึม ภายในเวลา 1 สัปดาห์
กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นเรื้อรัง อาการแสดงจะค่อยเป็นค่อยไป อาจมีไข้หรือไม่ก็ได้ การดำเนินโรคช้าแต่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้ เช่น เกิดจากเชื้อหัด, เอดส์, พิษสุนัขบ้า นอกจากอาการแล้ว เมื่อสงสัยแพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด อาจต้องเจาะน้ำไขสันหลังมาตรวจ และอาจต้องทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองประกอบ ทำให้วินิจฉัยโรคได้แน่นอนยิ่งขึ้น ดังนั้นหากมีอาการต่างๆ ข้างบนนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที รักษายาก ถ้าป่่วย…
เป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสส่วนใหญ่ ยกเว้น เชื้อเริม (Herpes simplex virus) ซึ่งมียาอะไซโคลเวียรักษาได้ แต่ต้องให้ในระยะเริ่มแรกของโรคจึงได้ผลดี นอกจากนี้สมองอักเสบจากไข้รากสาดใหญ่มียาที่ใช้รักษาได้ เชื้ออื่นๆ ยังไม่มียาที่รักษาได้ผลแน่นอน ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาระงับ ยาช่วยลดอาการบวมของสมอง ช่วยการหายใจแก้ภาวะเกลือแร่ไม่สมดุล รักษาภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ภายหลังการป่วยเป็นไข้สมองอักเสบ ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการไม่รุนแรงอาจหายเป็นปกติได้ แต่ผู้ป่วยส่วนมากที่มีอาการรุนแรงอาจเสียชีวิตในกรณีที่รอดชีวิตมักมีความพิการทางสมองหลงเหลืออยู่ เช่น ชัก อัมพาต ปัญญาอ่อน พฤติกรรมและอารมณ์เปลี่ยนแปลง พูดไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจ บางรายอาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปเลย จะเห็นว่า โรคไข้สมองอักเสบเป็นโรคที่น่ากลัว เมื่อเป็นแล้วรักษายาก และผลการรักษาไม่ดี
ป้องกันไว้ก่อน ขั้นตอนสำคัญที่สุด
เพราะโรคนี้รักษายาก การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โรคไข้สมองอักเสบส่วนใหญ่ป้องกันได้ ในปัจจุบันมีวิธีป้องกันที่สำคัญ 2 วิธี ได้แก่ การฉีดวัคซีน และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อโรค วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคสมองอักเสบในปัจจุบัน ได้แก่วัคซีนป้องกันเชื้อเจอีซึ่งแนะนำให้แก่เด็กไทยทุกคน วัคซีนป้องกันโรคสมองอักเสบจากพิษสุนัขบ้า โดยฉีดวัคซีนป้องกันก่อนหรือหลังสัมผัสโรค วัคซีนป้องกันหัด วัคซีนป้องกันโรคคางทูม วัคซีนป้องกันโรคสุกใส สมองอักเสบจากเชื้ออื่นๆ ยังไม่มีวัคซีนป้องกันได้ในขณะนี้
วิธีป้องกันอีกวิธีคือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อโรคหรือพาหะ เช่น ป้องกันไม่ให้ยุงกัดเมื่อเข้าไปในท้องถิ่นที่มีโรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อเจอี ชุกชุม โดยการทายากันยุง การนอนกางมุ้ง เป็นต้น โรคพิษสุนัขบ้าก็ต้องป้องกันไม่ให้สัตว์กัด และการฉีดวัคซีนป้องกันให้แก่สัตว์เลี้ยงประเภทที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่น สุนัข แมว เป็นต้น โรคมือ-เท้า-ปาก ที่เคยระบาดที่ประเทศมาเลเซีย ไต้หวัน และสิงคโปร์ จากเชื้อ อีวี 71 เชื้อเข้าไปในสมองทำให้เด็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ปีตายได้ สามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัส กับเด็กที่กำลังเป็นโรค การไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน ล้างมือหลังจากเล่นกับเพื่อน เชื้อนิปาห์ที่ทำให้เกิดการระบาดในประเทศมาเลเซียเมื่อสองปีก่อนก็ป้องกันได้ โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดและสิ่งคัดหลั่งจากหมูที่กำลังป่วย ถ้าจำเป็นต้องสัมผัสก็ใส่ถุงมือป้องกัน เป็นต้น
สรุปโดยรวมแล้วโรคสมองอักเสบเป็นโรคร้ายแรงที่รักษายาและมีภาวะแทรกซ้อนสูง ถึงแม้สมองอักเสบจากเชื้อหลายชนิดยังไม่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แต่เชื้อที่พบบ่อยเช่น ไวรัสเจอีมีวัคซีนที่ได้ผลดี คุณพ่อคุณแม่จึงควรพาบุตรหลานไปรับวัคซีนให้ครบ โดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือบริเวณที่มีการเลี้ยงหมูในระยะ 2 กิโลเมตร
ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูล พ.ญ.รังสิมา และ น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นิตยสาร ดวงใจพ่อแม่
| |
|